หากใครเกิดทัน ยุคโมเด็ม ที่หมุนโทรศัพท์ครั้งละ 3 บาท กับความเร็ว 33.6 – 56Kbps เว็บไซต์ในช่วงนั้น เป็นแค่ตัวอักษร รูปภาพ แอนิเมชั่นเล็กๆ น้อยๆ ให้ดูน่าสนใจ แต่เมื่อกล้องดิจิตอลถูกพัฒนามากขึ้น ความละเอียดสูงขึ้น การพัฒนาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงขึ้น ใครๆก็อยากจะได้เน็ตแรง โหลดเร็ว ไม่ต้องรอนาน ไฮสปีด อินเทอร์เน็ต คืออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่ทุกๆ คนอยากจะได้ เพราะคำว่า “โหลดเร็ว” นั่นคือ ดาวน์โหลดเร็ว ไม่ต้องรอนาน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไป สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ความเร็วอินเทอร์เน็ต ไม่ได้ดังใจฝัน ลองมาดูกัน ว่ามีปัจจัยใดบ้าง ทีมีผลต่อความเร็วอินเทอร์เน็ต และจะพาคุณไปรู้จักกับ การทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต ผ่าน สปีดเทส (SpeedTest) กัน
ขึ้นชื่อว่า ไฮสปีด อินเทอร์เน็ต ความเร็ว เร็วกว่าการหมุนโมเด็มแบบเดิมๆ หลายเท่า จากคำโฆษณา ที่ดาวน์โหลดเร็ว ดูรูปเร็ว ส่งไฟล์อะไรก็เร็ว แต่รู้หรือไม่ ว่าความเร็วในการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่คุณจ่ายอยู่ทุกๆ เดือน ที่หลายๆคน ภูมิอกภูมิใจหนักหนาว่า เน็ตชั้นแรง 8Mbps เอาเข้าจริงนั้น มีความเร็วแค่ไหน และความเร็วที่ใช้งาน ทำได้อย่างที่โฆษณาไว้ไหม วิธีการทดสอบคือการทำ สปีดเทส แปลง่ายๆคือการวัดความเร็วอินเทอร์เน็ต จากเครื่องของคุณไปยังเซิร์ฟเวอร์ แต่ก่อนจะไปทดสอบ เราขอแนะนำเกี่ยวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงกันก่อน
เทคโนโลยีเติบโต ทุกคนเป็นเจ้าของสื่อได้เอง
เริ่มแรก การใช้งานอินเทอร์เน็ตของเรา ใช้เพื่อการสืบค้นข้อมูล ส่วนใหญ่มีแต่ข้อความ ภาพประกอบนิดหน่อย แต่เมื่อมีการใช้ลูกเล่นตกแต่ง ตัวอย่างเช่น Hi5 ใช้แฟลช แอนิเมชั่นมากขึ้น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จึงเข้ามามีบทบาท จำได้ว่าครั้งแต่ที่ได้สัมผัส อินเทอร์เน็ต 512K นั้นก็ถือว่าเร็วกว่า 56K มากมายนัก จากคอนเทนต์ต่างๆ ที่โตขึ้น ภาพจากกล้องดิจิตอลจาก 3MP เป็น 5, 8, 10MP ทุกคนเอารูปถ่ายลงกระทู้ บล็อก โซเชียล เน็ตเวิร์กอย่าง ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก มีการเติบโตของการทำบล็อก มัลติพลาย มายสเปซ จนมาถึง กล้องวีดีโอ โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟนถ่ายภาพและวีดีโอได้ ยุคที่ทุกคนทำคอนเทนต์ได้เอง ทำให้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้การตลาด ลงมาแข่งขันกันที่ 1, 2, 3, 4, และล่าสุด 6Mbps แข่งกันที่ตัวเลข ความเร็ว กับโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ลองพิจารณาให้ดี ว่าตัวเลขที่เขาโฆษณานั้น เป็นความเร็วของการ “ดาวน์โหลด” ไม่ใช่ “อัพโหลด” ลองมาดูหัวข้อถัดไป
อยากได้เน็ตแรง เน็ตเร็ว ต้องทำยังไง
ก่อนอื่นให้พิจารณา ว่าความต้องการในการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคุณ เป็นอย่างไร เอาง่ายๆว่า ใช้งานอีเมล์ แช็ต เล่นกระทู้ เว็บบอร์ด ตอนที่ใช้โมเด็ม 56K กว่าจะโหลดกระทู้ยาวหลายร้อยความเห็น กว่าจะแนบไฟล์อีเมล์ สมัยก่อน 2MB 4MB ก็ถือว่าเยอะ ดาวน์โหลดไฟล์ขนาด 40 – 50MB ถือว่าใหญ่แล้ว เพราะใช้เวลาร่วมชั่วโมง แต่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เข้ามาตอบตรงที่ว่า ดาวน์โหลดเร็ว ไม่ต้องรอนาน คอนเทนต์ต่างๆก็โตขึ้น ดาวน์โหลดหนังได้ ดูแฟลชแอนิเมชั่นได้ แล้วคุณล่ะ ใช้งานแบบไหน ถ้าแค่ส่งเมล์ ตอบกระทู้ ก็คงไม่เท่าไหร แต่อย่าลืมว่า ตอนนี้ส่งเมล์ แนบไฟล์ได้ร่วมๆ 10MB ส่งไฟล์ขนาดใหญ่ก็ใช้ Dropbox, SkyDrive หรือใช้บริการ Yousendit ส่งไฟล์ใหญ่ๆ แทน ปกติเวลาใครที่ทำงานด้านกราฟิก เวลาส่งอาร์ตเวิร์ค ต้องไรท์แผ่นซีดี / ดีวีดี ฝากแมสเซ็นเจอร์ไปส่ง แต่สมัยนี้อัพโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ต ส่งลิงก์ทางอีเมล์ อยากให้ลองพิจารณาก่อนว่า คุณใช้งานด้านไหน แล้วต้องการความเร็วเท่าไหรในการทำงาน จำนวนเงินที่เสียไปมันคุ้มค่าหรือไม่ พิจารณาส่วนนี้ก่อน เพราะอินเทอร์เน็ตแบบไฮสปีด มีค่าบริการรายเดือน ขั้นต่ำก็ 590 ไม่รวมภาษี ถ้าคุณแทบไม่ได้ใช้เน็ตเลย หรือนานๆใช้ครั้งนึง ก็ไม่คุ้มค่าที่จะจ่าย หรืออยากได้แค่ความเร็วเยอะๆ แค่ใช้งานแค่ อีเมล์ ตอบกระทู้ ไม่ได้สร้างบล็อก ทำวีดีโอ ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็ไม่คุ้มค่า ยุคนี้เน็ตขั้นต่ำ 6Mbps (แต่ว่า ในแต่ละสถานที่จะใช้งานได้กี่เม็ก ขึ้นอยู่กับการให้บริการ) เอาแค่ความเร็วระดับนี้ 3, 4, 6Mbps นี่เพียงพอกับการใช้งานอีเมล์ กระทู้ อัพรูป เฟซบุ๊ก โซเชียล เน็ตเวิร์กแล้ว เมื่อพิจารณาได้แล้วว่า จะติดอินเทอร์เน็ตไฮสปีดเพื่อใช้งานด้านใด ก็ลองพิจารณาจากแพ็คเก็จดู ว่าเหมาะสมกับความต้องการของเราหรือไม่ เช่น เล่นเกมออนไลน์ ชอบดู youtube เล่นเกมแฟลช ชอบโหลดบิต หรือใช้งานแบบ ทั้งวันทั้งคืน เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กตลอดเวลา แบบผม ใครเล่นสไกป์ คุยผ่านเน็ต ก็ลองพิจารณาเลือกความเร็วให้เหมาะสม โดยปรึกษาผู้ให้บริการก่อน
พร้อมติดเน็ตแล้ว ต้องทำยังไง
เมื่อรู้ถึงความต้องการในการใช้งานของเราแล้ว ให้ลองศึกษา หาข้อมูล ว่าในพื้นที่ บริเวณที่เราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงาน บ้าน หรือองค์กรต่างๆ ก็ให้ตรวจสอบกับผู้ให้บริการทุกราย ว่ามีเงื่อนไขอย่างไรในการติดอินเทอร์เน็ต ให้บริการได้สูงสุดกี่ Mbps โดยในการพิจารณา จะต้องอ่านจาก รายละเอียดในการให้บริการ โดยตัวเลขตัวแรก จะเป็นความเร็ว ดาวน์โหลด และตัวเลขด้านหลัง จะเป็นความเร็ว อัพโหลด ซึ่งหลายๆคน มองตามคำโฆษณา แค่ 6Mbps แต่ไม่ได้พิจารณาว่า ตัวเลขตัวหลังคือ 512Kbps ซึ่งเป็นการอัพโหลดที่ช้ากว่าแพ็คเก็จอื่นๆอย่าง 8Mbps / 1Mbps ของหลายๆค่าย ตรงนี้จะมาจากความต้องการในการใช้งานตามพฤติกรรมของเราเอง หากเราไม่ได้ใช้อะไรมาก หาข้อมูลนิดหน่อยๆ แช็ต เล่นโซเชียลเน็ตเวิร์กบ้าง อัพโหลดรูป วีดีโอ แบบนานๆที 6Mbps / 512Kbps ก็พอใช้งานแล้ว แต่หากว่าต้องการใช้งานวีดีโอ เล่นแฟลช อัพโหลดวีดีโอ คุยสไกป์ สนทนาผ่าน VoIP เล่นเกมออนไลน์ ก็ควรจะใช้ความเร็ว 8Mbps / 1Mbps ขึ้นไป
แต่ช้าก่อน มันไม่ได้เหมารวมว่า อยากจะได้ 8Mbps 10Mbps จะใช้ได้ทุกคน จริงๆแล้ว ปัจจัยอยู่ที่สภาพแวดล้อมในการใช้งาน สภาพอากาศ สภาพของสายโทรศัพท์ เครือข่าย ความหนาแน่นของประชากร บางบ้าน อาจจะติดปัญหาที่สายโทรศัพท์เก่ามาก ถัดไปอีก 2 บ้านอาจจะได้ความเร็วดีกว่า ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ สิ่งแรกที่ผมจะบอกคือ ตรวจสอบกับผู้ให้บริการให้ชัดเจน ว่าค่ายนี้ ให้บริการในพื้นที่ใช้งานของเรา ได้ความเร็วสูงสุด กี่ Mbps ทั้งอัพโหลด และดาวน์โหลด ในบางพื้นที่ อาจจะติดปัญหาด้านสัญญา การผูกมัดของบริษัท โครงการ บ้านจัดสรร อยากได้ความเร็วเท่านี้ ค่ายนี้ แต่ติดตั้งไม่ได้ เพราะบ้านจัดสรร คอนโด โครงการ มีการผูกสัญญากับอีกค่ายนึงไว้ ทำให้ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับและเข้าใจ ดังนั้น ไม่ใช่ว่า ทุกคนจะอยากได้ความเร็วเท่าไหรก็ใช้งานได้ จ่ายเยอะ จ่ายแพงก็ใช้งานได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ให้บริการรายใด ให้บริการได้ความเร็วสูงสุดระดับใด ในพื้นที่ที่คุณขอติดตั้งใช้บริการ ยกตัวอย่าง เช่น บ้านผม ให้บริการได้เต็มที่แค่ 4Mbps แต่ความเร็วที่ให้บริการได้สูงสุดคือ 3Mbps เจ้าหน้าที่ก็จะแจ้งว่า ให้บริการได้เต็มที่ 4Mbs แต่สูงสุดของความเร็วจริงๆ ได้แค่ 3Mbps เพราะห่างจากชุมสาย ดังนั้นจะติด 4Mbps ก็ได้ แต่ยังไงความเร็วก็ได้แค่ 3Mbps จะจ่ายแพงกว่าทำไม เพราะยังไงก็ได้ความเร็วเต็มที่แค่นี้
ตรงนี้ที่กล่าวมาทั้งหมด คือเราต้องเข้าใจ ว่าเราใช้งานอินเทอร์เน็ต ความเร็วเท่าใด ใช้งานแบบไหน เพราะเวลาที่เราทำ SpeedTest จะทดสอบความเร็วที่ใช้งานจริงให้เราได้ทราบ เพื่อเทียบกับแพ็คเกจที่เราใช้ หรือทดสอบว่า มีการอัพสปีดให้แล้วหรือไม่ ซึ่งในออฟฟิศผมเอง ความเร็วอินเทอร์เน็ต 10Mbps / 1Mbps วิ่งจริงๆ วัดความเร็วในช่วงเวลาทำงานปกติ คือ ดาวน์โหลดได้เกินครึ่ง สัก 7 – 8 Mbps ก็ถือว่าเยอะแล้ว ส่วนอัพโหลดนั้น ใช้งานได้จริงๆ 512Kbps ครึ่งหนึ่งของ 1Mbps ก็ถือว่าปกติ เพราะมีปัจจัยหลายๆอย่าง ไม่ใช่ว่าพอเน็ตช้า ก็ไปโทษผู้ให้บริการว่าเน็ตช้า ไม่ดี ด่าท่ออย่างนั้น อย่างนี้ เพราะเราต้องยอมรับว่า สถานที่ที่เราใช้งาน ใกล้ ไกล ชุมสาย แค่ไหน มีสภาพสายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการเป็นอย่างไร เพื่อให้เราได้เข้าใจว่าความเร็วที่โฆษณานั้น เราไม่มีทางจะได้ความเร็วแป๊ะๆ แค่ขอให้ใกล้เคียงก็ถือว่าโอเคแล้ว
เลือกแพ็คเกจ ต้องพิจารณาจากการใช้งาน
สิ่งที่ควรรู้ไว้ คือการอ่านสเปคข้อมูลในการพิจารณาความเร็วอินเทอร์เน็ต ยกตัวอย่าง 6M / 512K ความเร็วที่โฆษณากันคือตัวเลขด้านหน้า เป็นความเร็วในการดาวน์โหลด ส่วนการอัพโหลด นั้นจะมีความเร็ว 512K หรือ 1M พอๆกัน ดังนั้นให้พิจารณาการใช้งานของเรา หากต้องอัพโหลดวีดีโอ ทำบล็อก สร้างเนื้อหาต่างๆ ตัดต่อวีดีโอ เลือกแพ็คเกจที่มีความเร็วการอัพโหลดเป็น 1M ไปเลย คือความเร็ว 8M / 1M หากคุณต้องอัพโหลดวีดีโอ ตัวเลข 6M ราคาถูก อาจจะไม่เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานของเราก็ได้ ตรงนี้คือสิ่งที่หลายๆคนไม่ทราบ แล้วหงุดหงิด ด่า ผู้ให้บริการ โดยไม่รู้ทางด้านเทคนิค หรือพนักงานไม่ยอมบอก แล้วบอกว่า อัพโหลดช้า จะไม่ให้ช้าได้ยังไง เพราะแค่ 512K ส่งไฟล์วีดีโอ 200MB อัพโหลดขึ้นไปก็ใช้เวลานานแล้ว
โครงการบรอดแบนด์แห่งชาติ ไทยเน็ต ดาวน์โหลด 2 Mbps / อัพโหลด 512 Kbps เดือนละ 199 / เดือน จำกัด 60 ชั่วโมง / เดือน ส่วนเกิน 10 บาท / ชั่วโมง สูงสุด 490 บาท นี่คือบริการที่ผู้ใช้ต้องศึกษา แน่นอนว่าเป็นโอกาสในการเข้าถึงได้มากขึ้น แต่ต้องดูรายละเอียดปลีกย่อยด้วย
สำหรับค่าย TOT ให้บริการ 6Mbps แต่อัพโหลด 512K ถ้าอยากได้อัพโหลด 1Mbps ต้องเป็นโปรโมชั่น 9Mbps ขึ้นไปเท่านั้น ตรงนี้ผู้ใช้จะต้องศึกษา
True Online ชู 6Mbps 599 บาทต่อเดือน หลายคนก็ไม่ได้ฉุกคิด เพราะเทียบเอาราคาที่ต้องจ่ายต่อเดือน กับตัวเลขความเร็ว แต่ไม่ได้ตรวจสอบว่า ความเร็วอัพโหลดคือ 512Kbps เหมือนกับค่ายอื่นๆ ตรงนี้หากใช้แค่นิดๆหน่อยๆคงไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าต้องโยนไฟล์ลง dropbox มีการอัพโหลดวีดีโอ Youtube ก็ใช้เวลานานกว่า แนะนำให้ติดตั้ง 8Mbps ไปเลย
โซเชียล มีเดีย กลไกลการเติบโต อินเทอร์เน็ต
สาเหตุที่เราจะต้องศึกษาการใช้งานเพราะ พฤติกรรมในการใช้งานของเรา เปลี่ยนไปเร็วมาก จากที่เคยดาวน์โหลด ดูเว็บคนอื่น กลายเป็นตัวเองสร้างเนื้อหาเอง ทำวีดีโอเอง ถ่ายรูปเอง ทุกคนเป็นเจ้าของสื่อบนโซเชียล เน็ตเวิร์ก ใครก็ได้ ร้องเพลง อัพโหลดขึ้นยูทูปส์ ก็ได้เป็นดารา นักร้อง ยกตัวอย่าง Apple Girls ที่ใช้ความสามารถในการเล่นดนตรีจาก ไอโฟน ไอพอด ทุกคนเข้าถึงยูทูปส์ได้มากขึ้น สร้างบล็อกได้เอง แม้แต่ จีบัน ดอท คอม ก็ได้อิทธิพลจากการทำสื่อ การรีวิวด้วยตนเอง จนได้รับความนิยม มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา ล่าสุด iPhone4 ที่เราใช้งาน Facetime กัน ก็อาศัยความเสถียรจาก ไฮสปีด อินเทอร์เน็ต ผ่านการเชื่อมต่อ ไว-ไฟ ในการสื่อสาร บางคนคุยกับแฟนก็ใช้ Facetime กันทุกวัน เห็นหน้ากันทุกวัน สร้างความสุขในการใกล้ชิด การสื่อสารมากขึ้น รวมไปถึง การดาวน์โหลดไฟล์ โหลดบิต ภาพยนตร์ ต่างๆ บนเฟซบุ๊ก ตอนนี้ใครไปที่ไหนก็ถ่ายรูป มีการอัพโหลดขึ้นไปบนยูทูปส์ ยุคที่ทุกคนทำสื่อเองบนโซเชียลมีเดีย เปลี่ยนให้การดาวน์โหลด ปรับมาเป็นพฤติกรรมอัพโหลดแทน หากมีอัตราการดาวน์โหลดเร็ว ก็ใช้เวลาไม่นาน หน้าไม่งอ ไม่ต้องรอนาน แต่หากว่าเน็ตช้า โหลดไม่ไป รอนาน ก็เริ่มเกิดอาการหงุดหงิด ด่าทอ เน็ตช้า ซวยไปถึงผู้ให้บริการ ว่าหลอกลวง ก็ว่ากันไป ก็ขอให้รู้ว่า บางครั้ง การใช้งานที่ไม่ตรงกับพฤติกรรมของตนเอง เลือกแพ็คเก็จที่ไม่ตรงกับการใช้งาน ก็ทำให้เราหงุดหงิด อารมณ์เสียได้เช่นกัน
เมื่อรู้สึกว่าเน็ตช้า
ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตนั้น การโฆษณา ไม่ได้พูดถึง ความเร็ว เว็บใน และเว็บนอก ซึ่งมาจากการที่เข้าถึงเว็บไซต์ การดาวน์โหลดต่างๆ จะมี Mirror Site ให้เราเลือกใกล้ประเทศเราที่สุด หากพฤติกรรมในการใช้งานของเรา เข้าเว็บไซต์ที่มีเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่ในประเทศไทย ก็จะถ่ายโอนข้อมูลได้เร็ว แต่หากใช้งานอินเทอรเน็ต อ่านข่าวเว็บต่างประเทศบ่อยๆ ดูวีดีโอ ดูยูทูปส์ ก็จะต้องพิจารณาตรงนี้ ไม่ใช่ว่าเน็ตช้า แต่เพราะเราเลือกแพ็คเกจ ไม่ตรงกับพฤติกรรมการใช้งานของเรา ซึ่งในการโฆษณานั้น หากเป็นเมื่อ 2 – 3 ปีก่อน หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินการโฆษณา เร็วทั้งเว็บใน เว็บนอก หรือความเร็วสูงปรี๊ด 10Mbps แต่พออ่านตัวอักษรเล็กๆ จะระบุว่าเฉพาะการดาวน์โหลด เว็บในประเทศเท่านั้น ตรงนี้หายห่วงได้ เพราะสมัยนี้ ความเร็วที่โฆษณาส่วนใหญ่จะเป็นความเร็วที่เท่ากัน ทั้งเว็บใน (ที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์อยู่ในประเทศ) และเว็บนอก (ที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ)
โดยปกติแล้ว การวัดประสิทธิภาพการใช้อินเทอร์เน็ตแบบง่ายๆ คือการดาวน์โหลดไฟล์ในขนาดที่เรากำหนด แล้วจับเวลา แต่พอเอาเข้าจริงมันไม่ใช่แบบนั้น หากเป็นสมัยก่อน มีการทดสอบว่า ISP ค่ายไหนเร็วที่สุด โดยใช้ทดสอบหลาย ISP ผู้ให้บริการ แล้วทดสอบในช่วงเวลาเดียวกัน คือช่วงที่มีคนใช้งานเยอะที่สุด แต่ก็จะมีปัจจัยเกี่ยวเนื่องหลายๆอย่าง ที่ล้วนแต่ส่งผลให้อินเทอร์เน็ตช้าไม่ได้ดังใจ พาลไปด่าไปอาฆาตผู้ให้บริการกันเลยทีเดียว
ความรู้สึกว่า เน็ตช้า เกิดจาก อาการที่เราผิดสังเกตว่า ทำไมดาวน์โหลดช้า ทำไมโหลดไม่ไป ทำไมไม่วิ่ง ทำไมวีดีโอกระตุก ทำงานไม่ได้ก็หงุดหงิดหัวเสีย การทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต คือวิธีการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต หลายๆคนอาจจะเคยทำ SpeedTest บ่อยๆ แต่อีกหลายๆ คน (รวมทั้งผม) จะใช้การทดสอบสปีดเทส ก็ต่อเมื่ออินเทอร์เน็ตเริ่มอืด ช้า ไม่ได้ดังใจ โหลดไม่ไป การทดสอบ SpeedTest จะทดสอบจากการเรียกข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั้งขาดาวน์โหลด และอัพโหลด แสดงเป็นกราฟ ไม่ใช่แค่ความรู้สึก
วิธีที่จะบอกได้ว่า อินเทอร์เน็ตเร็วหรือช้า หากเน็ตช้า ขั้นแรกผู้ใช้มักโทรไปถามที่ศูนย์บริการคอลล์เซ็นเตอร์ เจ้าหน้าที่ก็จะถามว่า ไฟเร้าเตอร์กระพริบติดครบหรือไม่ ตรวจสอบทีละจุด ไล่ตรวจสอบจนถึงชุมสาย เพื่อให้ทราบว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเร้าเตอร์ การจ่ายสัญญาณ หรือเกิดจากปัญหาอะไร เคยเจอว่า เน็ตไม่วิ่ง พอปิดเร้าเตอร์แล้วเปิดใหม่ ก็ใช้งานได้ หรือรีเซ็ตตัวเร้าเตอร์ ตรงนี้สามารถทำได้เองเพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ก่อนติดต่อผู้ให้บริการ
วัดประสิทธิภาพความเร็วแบบจริงใจด้วย SpeedTest
จากความรู้สึก คนเรามักเข้าข้างตัวเอง เน็ตชั้นแรง ช้าได้ไง แต่ SpeedTest คือบริการทดสอบ ที่วัดความเร็ว ในการใช้งานเป็นกราฟให้เห็นความเร็วของเซิร์ฟเวอร์ แต่ก็ต้องเข้าใจพื้นฐานของการทดสอบในประเทศไทยก่อนว่า สภาพอากาศที่ร้อนในตอนกลางวัน หนาวในการตอนกลางคืน ปริมาณการใช้งานที่หนาแน่นในช่วงเวลาทำงาน ช่วงเวลาในการทดสอบมีผลต่อประสิทธิภาพการส่งผ่านข้อมูลทั้งสิ้น
ช่วงเวลาในการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตก็สำคัญ เพราะมีหลายๆปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการวัดความเร็วในการใช้งานอินเทอร์เน็ต จากผลสำรวจผลสำรวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ประจำปี 2553 โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พบว่า ช่วงเวลากลางคืน ระหว่าง 20.10 – 24.00น. เป็นช่วงเวลาที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุด และช่วงเวลา 04.01 – 08.00น. เป็นช่วงเวลาที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตน้อยที่สุด ดังนั้น หากเราใช้งานอินเทอร์เน็ตในช่วงเวลาดังกล่าว หากรู้ว่ามีจำนวนผู้ใช้มาก ก็ไม่ได้แปลกหรือผิดปกติอะไรหากความเร็วลดลง แต่ไม่ถึงกับใช้การไม่ได้
ทดสอบ SpeedTest เพื่ออะไร?
ปกติการวัดประสิทธิภาพผ่าน SpeedTest คงมีหลายคนชอบทดสอบ 3G, Wi-Fi เวลาไปใช้งานตามสถานที่ต่างๆผ่านแอร์การ์ด หรืออุปกรณ์กระจายสัญญาณไวร์เลส (Mi-Fi) บางคนจะทดสอบประสิทธิภาพความเร็วอินเทอร์เน็ตก็เฉพาะตอนทีอินเทอร์เน็ตช้า หลุด ไม่วิ่ง จึงทดสอบว่าการทำงานอยู่ในสภาวะปกติหรือไม่ ตอนที่เทสสปีด หลายๆคนตื่นเต้นแล้วทดสอบความเร็วที่ได้ แชร์บนโซเชียล มีเดีย อย่างเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ หรือหากอินเทอร์เน็ตช้า ก็จะบ่น ร้องเรียน แล้วแชร์บนโซเชียลมีเดียเช่นกัน จะเห็นได้ว่า การวัดความเร็วอินเทอร์เน็ตนั้น เราจะใช้ SpeedTest เป็นมาตรฐานในการวัดประสิทธิภาพความเร็วในการใช้อินเทอร์เน็ต
หลายๆคนอาจจะไม่เคยได้ทดสอบ Speedtest คงจะเกิดคำถามว่ามันคืออะไร ทำไปเพื่ออะไร เอาตัวเลขสปีดมาแข่งกัน อวดกันเหรอ จริงๆแล้วมันมีอะไรที่มากกว่านั้น โดยการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต สามารถทำได้ผ่านบราวเซอร์ (Browser) เช่น Internet Explorer, Mozilla Firefox, Google Chrome, Opera, Safari หรือแม้แต่ Rockmelt หรือพวก Crazy Browser หรือเบราเซอร์อื่นๆก็ทำได้ หรือแม้แต่บนมือถือก็ยังทำได้ (speedtest.or.th/m) ส่วนคำถามที่ว่า ทดสอบแล้วได้อะไร ก็ย้อนกลับไปหาคำตอบจากที่ผมร่ายมาทั้งหมดคือ ความเร็วที่เราใช้งานได้จริงๆ ในสถานที่จริงของเรา มันใช้งานได้ตรงกับความเร็วที่โฆษณา ที่เราซื้อแพ็คเกจจ่ายรายเดือนไว้หรือไม่ หรือช้า ก็ต้องหาสาเหตุต่อไปว่ามีปัจจัยใดบ้าง หรือบ้านมีสัญญาณรบกวนมากๆก็อาจจะต้องปรับลดความเร็วลงเพื่อให้เสถียร แต่นั่นคือต้องติดต่อผู้ให้บริการเพื่อตรวจสอบจากชุมสาย ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ อยากจะดร็อปความเร็วลงก็ทำได้ เพราะปกติไฮสปีดอินเทอร์เน็ตจะสามารถอัพเกรดความเร็วในการใช้อินเทอร์เน็ตได้ แต่ไม่สามารถดาวน์เกรดลดความเร็วลงได้ ยกเว้นว่าปรึกษาผู้ให้บริการ ยกเลิกบริการแล้วสมัครใหม่ ตรงนี้เราทดสอบด้วย SpeedTest ได้ เพราะบางทีเน็ตช้า ไม่ได้เป็นที่ผู้ให้บริการ แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมของการใช้งานเฉพาะในพื้นที่เราเอง
SpeedTest จะเป็นคำตอบที่บอกให้เราได้รู้ว่า ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่แท้จริงของเรา ดาวน์โหลด และอัพโหลดเท่าใด ทำไมจึงเรียกเว็บไซต์ช้า อย่างที่หลายๆคนบ่นและร้องเรียนกันอยู่บ่อยๆ แต่มีหลายปัจจัย โดยเฉพาะบางช่วงเวลามีคนใช้เยอะก็ช้า หากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศ หรือในไทยเองช้า การดาวน์โหลดช้าไปด้วย แถมช่วงเวลาที่ชาวต่างชาติอีกซีกโลกนอนกันแล้ว เน็ตบ้านเราก็จะเร็ว
จากที่กล่าวมาทั้งหมด เราจะต้องทราบว่า แพ็คเกจอินเทอร์เน็ตที่เราใช้งาน มีความเร็วดาวน์โหลดที่เท่าไหร เพราะในเว็บไซต์ Speedtest.or.th เราจะต้องเลือกความเร็วในการอัพโหลดของผู้ให้บริการที่เราใช้อยู่ และเลือกจังหวัดที่ทดสอบ
จากภาพ ทดสอบบนแพ็คเก็จ True 10Mbps / 1Mbps แต่ผลทดสอบที่ออกมา ได้แค่ 8Mbps กว่าๆ ส่วนการอัพโหลด นั้นแค่ 0.51Mbps เรียกได้ว่า ครึ่งหนึ่งของแพ็คเก็จที่ใช้งาน ก็เพราะสาเหตุและปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความเร็วที่ลดลง(ทดสอบช่วงเวลา 14.00 – 14.30น. วันทำงาน)
สาเหตุที่ SpeedTest แล้วได้ความเร็วไม่ตรงกับผู้ให้บริการ ก็เพราะปัจจัยด้านสภาพอากาศ สภาพแวดล้อม และปัจจัยอื่นๆในเมืองไทย แดดร้อน สายโทรศัพท์อายุการใช้งานเก่าเกินไป อุปกรณ์ใช้งานมาเป็นเวลานาน ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อความเร็วทั้งสิ้น ยกเว้นว่าบ้านคุณห่างจากชุมสายแค่ 100 – 200 เมตร ก็น่าสงสัย ลองติดต่อผู้ให้บริการดู
คำแนะนำในการทดสอบ Speedtest จากเว็บไซต์ SpeedTest.or.th นั้นแนะนำว่า ในขั้นตอนการทดสอบนั้น จะต้องกรอกความเร็วอินเทอร์เน็ตที่คุณกำลังใช้งานอยู่ หากอยู่ในร้านกาแฟ โรงแรม ข้างนอก เราก็จะไม่ทราบ แต่หากเป็นไปได้ให้สอบถามผู้ให้บริการหากเป็นบ้าน สำนักงาน ส่วนใครที่ทดสอบผ่าน Mi-Fi, ใช้มือถือแชร์สัญญาณอินเทอร์เน็ต ก็ใช้กรอกตามที่เราทราบ หากเป็น EDGE จะมีความเร็วประมาณ 256K ส่วน GPRS จะมีความเร็วที่ 40K ประมาณเดียวกับโมเด็ม 56K ส่วนในบางพื้นที่ 3G มีความเร็วประมาณ 7Mbps และแนะนำว่า ก่อนทำการทดสอบ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่า ไม่ได้ใช้งานอินเทอร์เน็ตอื่นๆ เช่น ดาวน์โหลด อัพโหลด หรือโหลดบิตเทอร์เรนต์ค้างไว้ เพราะจะทำให้ค่าของการทดสอบไม่ถูกต้องและคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
อยากได้เน็ตเร็ว ลองพิจารณา Fix IP
ปกติแล้วการใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จะไม่ได้มีการระบุและจำกัดว่า เราจะใช้งานกับ IP เลขชุดนี้ แต่หากต้องการความเร็วในการใช้งานที่เสถียรและคงที่ ก็สามารถใช้งานแบบ Fix IP ซึ่งส่วนใหญ่จะมีราคาแพงระดับ 2 – 3 พันบาทขึ้นไป แต่ก็จะได้ความเร็วที่การันตีไม่แบ่งไม่แชร์กับคนอื่น เวลาใช้งานก็จะใช้เลขไอพีเดิม ไม่เปลี่ยน หากเป็นแบบผู้ใช้ทั่วไปก็จะเป็นแบบที่เปลี่ยนเลขไอพีไปเรื่อยๆ ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าจะได้ใช้ ไอพีนี้ การ Fix IP (Static) สามารถกำหนดความเร็วได้ดีกว่า ไม่เปลี่ยนแปลงความเร็วมากนัก แต่การใช้งานจริงๆความเร็วก็ใกล้เคียงกับ SpeedTest มากขึ้น ใครที่ทำเซิร์ฟเวอร์ โฮสติ้ง ทำเมล์เซิร์ฟเวอร์ ใช้ VoIP ระหว่างสาขา ใช้การรีโมทเข้ามาใช้งานจากนอกบ้าน นอกออฟฟิศได้ รวมไปถึงการทำสตรีมมิ่ง วิทยุ วีดีโอออนไลน์
บทสรุป
เน็ตช้า ช้าเพราะอะไร ช้าเพราะพฤติกรรมการใช้งานของเรา ว่าใช้อัพโหลด หรือดาวน์โหลด มากกว่ากัน เลือกแพ็คเกจเหมาะสมหรือไม่ หรือจากสภาพแวดล้อมอื่นๆ ของบ้านเราเอง เร้าเตอร์ ชุมสาย เพราะบางปัจจัย ผู้ให้บริการก็แก้ไขปัญหาให้เราไม่ได้ เพราะเป็นปัจจัยที่นอกเหนือจากการควบคุม การเข้าเว็บต่างประเทศ อาจจะช้าเพราะเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศเอง หากมีใครถามผมว่า ใช้เน็ตค่ายนี้ ดีไหม เร็วไหม ผมจะตอบว่า ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ที่คุณใช้งานครับ ผมตอบให้ไม่ได้ การทดสอบสปีดเทส เราจะต้องรู้ว่าแพ็คเก็จอินเทอร์เน็ตของเรา ใช้โปรโมชั่นใดอยู่ ได้ความเร็วในการใช้งานเท่าใด แล้วหากว่ามีการอัพสปีดให้ เราได้ความเร็วตามที่เขากล่าวอ้างหรือไม่ เหมาะสมและคุ้มค่ากับเงินที่เราจ่ายไปแค่ไหน เพราะเราเป็นผู้บริโภค ที่ต้องรักษาสิทธิของตนเอง
หากพบปัญหาในการใช้งานอินเทอร์เน็ต ให้ติดต่อผู้ให้บริการ หรือร้องเรียน สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ร้องเรียนได้ที่ โทรฟรี 1200 หรือ สายตรง สบท. 0-2634-6000 หรือทางเว็บไซต์ www.tci.or.th
บทความโดย – นันท์ชวิชญ์ ชัยภาคย์โสภณ (@yokekung) บรรณาธิการเทคนิค นิตยสาร PC-Today (@pctoday)
อ่านต่อเพิ่มเติมที่ – สถิติ Speedtest ปี53 พบคนไทยได้ความเร็วเน็ตเพียง 71%